Search

2.1.5.2กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้...

  • Share this:

2.1.5.2กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีในชั้นสอบสวนของระบบกฎหมายคอมมอนลอว์
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นสอบสวนของระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) ได้แก่ ประเทศแคนาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ ดังนี้
1.ประเทศแคนาดา กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นสอบสวนของประเทศแคนาดา มีกฎหมายรองรับอยู่ 2 ฉบับ คือ The Criminal Code และ The Young Offenders Act 1984 ดังนี้
1) The Criminal Code ได้บัญญัติรับรองกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน ภายหลังการกระทำความผิดเกิดขึ้น กฎหมายให้อำนาจแก่ตำรวจและพนักงานอัยการมีทางเลือกที่จะเสนอคดีในขั้นตอนก่อนการยื่นฟ้องศาลต่อโครงการเบี่ยงเบนคดี หรือตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ได้ โดยอาศัยกฎหมายอาญามาตรา 717 ถ้าผู้กระทำความผิดมีคุณสมบัติเหมาะสม ก็ให้ดำเนินการส่งคดีเข้าร่วมโครงการ โดยมีผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการ คือ อัยการสูงสุดหรือผู้แทนที่มอบหมาย ผู้ที่รับการแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ โดยการดำเนินการนี้จะต้องได้รับการแนะนำรายละเอียดของมาตรการ และต้องยินยอมเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจ ซึ่งก่อนให้ความยินยอมต้องได้รับการชี้แจงสิทธิของตน
2) The Young Offenders Act 1984 ได้กำหนดกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับเยาวชน คือ อัยการสูงสุดหรือผู้ที่รับมอบหาย ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดนั้น ในการดำเนินการนั้นผู้ดำเนินการจะต้องกำหนดมาตรการให้เหมาะสมและเป็นที่พอใจได้ว่าจะได้รับการพิจารณาโดยรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม เยาวชนผู้เข้าร่วมตามมาตรการนี้จะต้องรู้สึกผิดและยอมรับผิดชอบในการกระทำของตน จึงได้ยินยอมเข้าร่วมโดยสมัครใจ โดยก่อนการตัดสินใจจะต้องได้รับการชี้แจงรายละเอียดของโครงการและต้องได้รับการแจ้งสิทธิที่มีอยู่ มาตรการนี้นี้จะไม่ถูกนำมาใช้หากผู้กระทำความผิดไม่ยอมรับปฏิเสธการกระทำของตน
ขั้นตอนการดำเนินการเริ่มต้นจากการที่ตำรวจและพนักงานอัยการจะส่งคดีให้คณะกรรมการชุมชนใช้มาตรการทางเลือกที่จะรับข้อพิพาทด้วยการประชุมไกล่เกลี่ย ซึ่งจะดำเนินการโดยอาสาสมัครและผู้ที่เข้าร่วมการประชุม คือ การกระทำความผิดและครอบครัว อาสาสมัคร ผู้ทำการไกล่เกลี่ย จำนวน 2 คน แต่สำหรับในคดีบางคดีเหยื่อและผู้ปกครองก็จะเข้ามาในคดีด้วย การดำเนินการตามมาตรการทางเลือกตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ถือว่าเป็นการขัดแย้งกับการดำเนินการตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม หากภายหลังปรากฏว่าผู้กระทำความผิดยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขให้ศาลเยาวชนยกฟ้องในข้อหาดังกล่าว
ซึ่งในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาททางอาญาในประเทศแคนาดาได้มีการกำหนดไว้โดยรัฐบาลกลาง เพียงว่าสามารถนำมาใช้กับความผิดเล็กน้อยหรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามรัฐโนวาสโกเทีย ของประเทศแคนาดาได้กำหนดวิธีการกระบวนการยุติธรรมไปใช้ได้เองและในทางปฏิบัติรัฐโนวาสโกเทีย สามารถนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีความผิดรุนแรงได้ด้วย โดยได้ยึดเอาประเภทความผิดเป็นเกณฑ์ ซึ่งแบ่งประเภทความผิดเพื่อใช้สำหรับการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) ความผิดระดับที่ 1 ได้แก่ ความผิดฐานที่อยู่ในเขตอำนาจของจังหวัด ความผิดฐานเตร็ดเตร่คนจรจัด ความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่เป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
2) ความผิดระดับที่ 2 ได้แก่ ความผิดฐานอื่นที่ไม่ใช่ความผิดระดับ 3 และความผิดระดับ 4
3) ความผิดระดับที่ 3 ได้แก่ความผิดฐานฉ้อโกงหรือยักยอกซึ่งทรัพย์มีมูลค่าไม่เกิน 20,000 ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ความผิดทางเพศ ความผิดฐานลักพาตัว กักขัง ความผิดเกี่ยวกับครอบครัว ความรุนแรงในครอบครัว
4) ความผิดระดับที่ 4 ได้แก่ ความผิดทางเพศ ความผิดฐานฆาตกรรม
ขั้นตอนการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาของรัฐโนวาสโกเทีย เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อันได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ ผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่คุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย ได้เสนอต่อคณะกรรมการชุมชนได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้ยุติลง ซึ่งมี 4 ขั้นตอนดังนี้
1) ขั้นตอนก่อนฟ้องคดี สามารถกระทำได้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พบการกระทำความผิด ระดับที่ 1 และระดับที่ 2 สามารถใช้ดุลพินิจเสนอเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการในขั้นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ต้องเป็นการกระทำในกรณีที่มีได้ตั้งข้อหาความผิด หากมีการตั้งข้อหาแล้วและเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าควรใช้มาตรการทางเลือก ก็สามารถดำเนินการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป
2) ขั้นตอนภายหลังการยื่นฟ้อง เป็นมาตรการที่สามารถกระทำได้โดยพนักงานอัยการ โดยภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาและส่งคดีมาแล้วสำหรับความผิดระดับที่ 1 และระดับที่ 2 พนักงานอัยการสามารถเลือกที่จะเสนอคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
3) ขั้นตอนก่อนมีคำพิพากษา เป็นการดำเนินการของผู้พิพากษาขณะที่คดีอยู่ระหว่างรอการพิพากษา ซึ่งโดยปกติในคดีที่มีความรุนแรงมากจะใช้วิธีการดำเนินคดีในศาลและมักตัดสินคดีโดยศาล แต่ในคดีที่มีความรุนแรงไม่มากนัก ศาลมักจะส่งคดีตามความเห็นของศาลเองหรือความเห็นของพนักงานอัยการให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ โดยศาลจะเลื่อนการพิจารณาออกไป
4) ขั้นตอนระหว่างรับโทษ เป็นขั้นตอนการเสนอคดีเข้าสู่การดำเนินกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย สำหรับความผิดระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ระดับ 4 เพื่อเยียวยาความเสียหายของเหยื่อ ผู้กระทำความผิด ชุมชน ระหว่างผู้กระทำความผิดได้รับโทษอยู่
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนของรัฐโนวาสโกเทีย ของประเทศแคนาดา ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อการใช้ การตีความความ การบัญญัติกฎหมายมารองรับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนของประเทศไทย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องรูปแบบวิธีการไกล่เกลี่ยเหยื่อ-เหยื่อผู้กระทำความผิด (VOM)
2.ประเทศสหรัฐอเมริกา กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นสอบสวนของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เจ้าหน้าที่ในองค์กรกระบวนการยุติธรรม ต่างมีการใช้อำนาจหน้าที่ตามกรอบตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เรียกว่า “ดุลพินิจ” (Discretion) ซึ่งเป็นอำนาจที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมเพื่อประสิทธิของกระบวนการยุติธรรม ในการแสวงหารูปแบบกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาระหว่างผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดทั้งในชั้นตำรวจ ในชั้นอัยการและในชั้นศาล ซึ่งมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยในสถานีตำรวจ สำนักงานอัยการหรือในองค์กรศาสนาหรือองค์กรในชุมชนซึ่งไม่ได้แสวงหากำไร
ในสหรัฐอเมริกาได้แบ่งประเภทความผิดอาญาตามความร้ายแรงตามอาชญากรรม ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1) ความผิดประเภท Felonies คือ ความผิดอาญาที่มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกในเรือนจำของรัฐเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป บางรัฐอาจกำหนดเกินกว่า 2 ปี เช่น รัฐCarolina แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ ความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต ความผิดต้องระวางโทษตลอดชีวิต ความผิดต้องระวางโทษจำคุก 10 ปี ขึ้นไปและความผิดต้องระวางโทษ 5 ปีขึ้นไป
2) ความผิดประเภท Misdemeanors คือ ความผิดอาญาอื่นๆที่นอกเหนือจากความผิดประเภท Felonies ซึ่งในรัฐส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกา อาจแบ่งประเภท ได้แก่ ความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 30 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี ความผิดต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 30 วันและความผิดในคดีจราจร โดยกำหนดโทษปรับเพียงเล็กน้อยและไม่บันทึกประวัติผู้กระทำความผิด ซึ่งในคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ดุลพินิจไม่บังคับตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา พนักงานสอบสวนนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญา เช่นคดีอาญาในคดีจราจร คดีที่ผู้กระทำความผิดเป็นเยาวชน คดีความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ คดีคนเมาสุรา คดีความผิดภายในครอบครัว เป็นต้น ในประเทศสหรัฐอเมริกาให้อำนาจตำรวจไกล่เกลี่ยเนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาและจำนวนบุคลากรที่เพียงพอจะบังคับใช้กฎหมายได้ จนบางกรณีอาจจะไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นเมื่อไม่มีการบังคับใช้กฎหมายได้ทุกคดี ตำรวจจึงตัดสินใจและพิจารณาว่าสิ่งใดควรใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญา
ซึ่งสรุปได้ว่ากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาของสหรัฐอเมริกาเป็นรูปแบบการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีสูงมาก โดยกันผู้กระทำความผิดออกจากกระบวนการยุติธรรมเข้าสู่โครงการทางสังคมหรือชุมชน เพื่อการบำบัดรักษาฟื้นฟู การศึกษาอบรม หรือแก้ไขผู้กระทำความผิดให้กลับคืนสู่สังคมได้ตามปกติสุข ซึ่งศึกษาจากแนวทางปฏิบัติของตำรวจในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ หลักสูตรโครงการกันคดีผู้มียาเสพติดไว้ในครอบครอง การลักขโมยเล็กน้อย การค้าประเวณี และการกันผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนเข้าสู่โครงการทางสังคมหรือชุมชน แทนการสู่ระบบกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนตามปกติ กล่าวคือ เมื่อจบหลักสูตรและปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ข้อหานั้นจะถูกยกเลิกและไม่มีประวัติบุคคล เป็นต้น
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อการใช้ การตีความความเพื่อการบัญญัติกฎหมายมารองรับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นพนักงานสอบสวนของประเทศไทยในประเด็นการที่ให้อำนาจตำรวจใช้ดุลพินิจใช้กระบวนการยุติธรรม ในเรื่องความผิดอาญาที่มีอัตราโทษที่ไม่เกิน 5 ปี รวมไปถึงรูปแบบวิธีการไกล่เกลี่ยเหยื่อ-เหยื่อผู้กระทำความผิด (VOM)
3.ประเทศออสเตรเลีย กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีในชั้นสอบสวนประเทศออสเตรเลียนั้นเกิดขึ้นในมลรัฐ New South Walesเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1991 ประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองแวกก้า แวกก้า (Wagga Wagga) จัดให้มีการประชุมระหว่างผู้เสียหายกับผู้กระทำความผิดสำหรับคดีเยาวชน ต่อมาได้มีการพัฒนามีบทบัญญัติ The Young Offenders Act 1993 ต่อมามลรัฐอื่นๆ ของประเทศออสเตรเลียก็มีโครงการจัดประชุมดังกล่าว โครงการจัดประชุมระหว่างผู้เสียหายกับผู้กระทำความผิดได้แก่
1) New South Wales จัดให้มีกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนมีการจัดประชุมกระทำที่สถานีตำรวจและดำเนินการประชุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีการเชิญผู้ช่วยเหลือผู้เสียหายมานร่วมในการประชุมด้วย ส่วนคดีเยาวชนการจัดประชุมในนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
2) South Australia การจัดประชุมกลุ่มครอบครัวขึ้นมาใช้โดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของศาลเยาวชนและโดยการสนับสนุนให้ผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการประชุมนั้น
3) Australia Capital Territory โครงการประชุมกลุ่มเริ่มจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 โดยใช้กับความผิดประเภทต่างๆ ทั้งในกรณีคดีผู้ใหญ่และคดีเยาวชน โดยการจัดการและการสนับสนุนการประชุมกลุ่มโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน ของประเทศออสเตรเลีย ผู้วิจัยเห็นว่าน่าจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อการใช้ การตีความความเพื่อการบัญญัติกฎหมายมารองรับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นพนักงานสอบสวนของประเทศไทยของการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กระบวนการยุติธรรมดังกล่าวในประเด็นเรื่อง คดีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษที่ไม่เกิน 5 ปี
4. ประเทศนิวซีแลนด์ ในประเทศนิวซีแลนด์ใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีในชั้นสอบสวน ทั้งในคดีเยาวชนและครอบครัวและในคดีผู้ใหญ่ ดังนี้
1) ในคดีเยาวชนและครอบครัว โดยมีบทบัญญัติ The Children, Young Person and Their Families Act 1989 โดยกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดถึงหลักการการประชุมกลุ่มครอบครัว (The Family Group Conference) ซึ่งใช้ทั้งในกรณีที่เยาวชนเป็นผู้กระทำความผิดและกรณีที่เยาวชนเป็นผู้เสียหาย
ซึ่งการประชุมกลุ่มครอบครัว (The Family Group Conference) ของนิวซีแลนด์มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสวัสดิการสังคม เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเด็กของหน่วยงานตำรวจ ผู้เสียหายจะมีผู้ให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาของการเข้าร่วมประชุมหรืออาจตั้งตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมแทนก็ได้ โดยผู้มีส่วนร่วมในการประชุมทุกคนจะมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ โดยจะมีการหารือเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการกระทำผิด และต่อจากนั้นทั้งผู้เสียหาย ผู้กระทำความผิด ผู้ช่วยเหลือในการประชุมนั้น ต่างจะได้กล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ตนเองนั้นในที่ประชุมได้รับฟัง และหาข้อสรุป ซึ่งจะนำไปสู่การที่ผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนนั้นตกลงที่จะชดใช้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตน
2) ในคดีผู้ใหญ่ได้มีบทบัญญัติ The Criminal Justice Act 1985 ได้กำหนดให้ศาลสั่งให้ผู้กระทำความผิดแก้ไขเยียวยาความเสียหายให้กลับคืนดีหรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย ส่วนขั้นตอนการดำเนินคดีนั้นการใช้มาตรการดังกล่าวอยู่ในดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวนของประเทศนิวซีแลนด์ ผู้วิจัยเห็นว่าไม่น่าจะนำมาเปรียบเทียบเพื่อการใช้ การตีความความ การบัญญัติกฎหมายมารองรับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนของประเทศไทยได้
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาของต่างประเทศโดยแยกพิจารณาตามระบบกฎหมายของแต่ละประเทศที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ทั้งประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายซิวิลลอว์ (Civil Law) กับระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) จะพบว่ากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่มีใช้ในชั้นสอบสวนของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายซิวิลลอว์ (Civil Law) หรือประเทศในภาคพื้นยุโรป คือ ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศออสเตรีย ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศสเปน และประเทศเนเธอแลนด์ จะให้อำนาจพนักงานอัยการมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาเป็นหลัก แต่มีประเทศเบลเยี่ยม และประเทศเนเธอแลนด์ นั้นให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนร่วมใช้การกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาได้ ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ (Common Law) คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และแคนาดา จะให้อำนาจเจ้าที่ตำรวจมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการใช้การกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระบวนการพิจารณาคดีอาญาในระบบกฎหมายที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายระบบซิวิลลอว์ (Civil Law) หรือประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) ต่างให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน เพื่อเป็นการลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล เป็นการเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ผู้กระทำความผิดได้กลับคืนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุขเช่นเดียวกัน


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts